วันอังคารที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2553

การรับรู้กับความรุนแรง (ทางความรู้สึก) (Perception and Violence)


วิไลวรรณ  จงวิไลเกษม[1]

จาโก๊ย มั้ย จาโก๊ย ดูเหมือนจะเป็นเสียงที่ชินหูสำหรับคนนอกอย่างเรา[2]ทุกฟ้ารุ่ง   ที่บ้านทรายขาว ตำบลที่ตั้งอยู่เคียงข้าง(เทือก)เขาสันกาลาคีรี  ที่มาของความเชื่อ ประเพณี  พิธีกรรมของคนทรายขาว    ไม่ต่างกับ  เสียงใบพัดจากเฮลิปคอปเตอร์กลายเป็นเสียงชินหูจนดูเหมือน ชาชิน อย่างคำที่คนทรายขาวตอบทุกครั้งที่ถูกตั้งคำถาม

            คืนแรกของการมาพักอาศัยที่ตำบลทรายขาว  อำเภอโคกโพธิ์  จังหวัดปัตตานี  (พื้นที่ที่ถูกนำเสนอข่าวออกไปทั้งในประเทศและต่างประเทศว่าเป็น พื้นที่สมานฉันท์  ระหว่างคนไทยพุทธและไทยมุสลิมด้วยหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ว่า ไม่มีเหตุการณ์ความรุนแรง เกิดขึ้นที่นี่)   เต็มไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้นผสมความวิตกกังวลที่ว่า เราจะทำอย่างไรให้คนทรายขาวคุ้นเคยกับเราเร็วที่สุด  เราจะได้คำตอบจริงแท้แค่ไหน ท้ายสุดไปจบที่คำถามว่า ข้อมูลที่ได้จะถูกใจอาจารย์ที่ปรึกษาหรือไม่

            บอกตามตรงว่า ความรู้สึกเป็นห่วงจากคนที่กรุงเทพมหานคร 108 ประการต่อความปลอดภัยของเรา   ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกกังวลแม้แต่เสี้ยวนาที  คาถาก่อนออกจากบ้านให้พระแม่ธรณีคุ้มครองที่แม่หนูเพื่อนรักมอบให้ในวันเลี้ยงส่งก่อนลงพื้นที่ยังซุกอยู่ก้นกระเป๋าสตางค์ที่เดิม    แต่หนังสือ คนใน  ประสบการณ์จากภาคสนาม กลับเป็นคาถาคู่กายที่ติดไว้ในเป้สะพายตลอดเวลา และถูกหยิบอ่านทุกคืนก่อนนอนเพื่อสนทนาแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกันระหว่างข้อมูลของปรมาจารย์ด้านมานุษยวิทยากับนักศึกษาทางด้านมานุษวิทยามือใหม่อย่างเรา  วงสนทนาเริ่มต้นทุกค่ำคืนก่อนนอนในช่วงเดือนแรกของการมาอยู่ที่บ้านทรายขาว    ความรู้สึกคาใจต่อเหตุการณ์ตลอดทั้งวันที่เจอ  ไม่ว่าคำพูด  กิริยาหรือแม้แต่สายตา  ถูกคลายปมไม่มากก็น้อย    ทำให้เรารู้สึกว่ามีเพื่อนคู่คิด  ช่วยตอบปัญหาที่เจอโดยเฉพาะปฎิกิริยาจากคนทรายขาว(คนใน)ที่มีต่อคนแปลกหน้า(คนนอก)อย่างเรา
            3 เดือนต่อมา   คู่สนทนาก่อนนอนของเรากลายเป็น หลวงปู่ทวด   จากความต้องการที่เปลี่ยนไป  ขอให้หลวงปู่ทวดคุ้มครอง  ให้แคล้วคลาด  ปลอดภัย   ขณะเดียวกัน  หนังสือ คนใน  ประสบการณ์ภาคสนาม  ถูกเคลื่อนออกไปซุกอยู่ใต้กระเป๋าเดินทาง  รูปปั้นหลวงปู่ทวดที่ได้มาจากคุณครูมาลี  ครูโรงเรียนวัดทรายขาวถูกนำมาวางบนหัวเตียงแทนที่ 

สัญญะ กับ ความหมายของคนทรายขาว

จาโก๊ย มั้ย จาโก๊ย

            จาโก๊ย มั้ย จาโก๊ย วันนี้ครบรอบ 1 สัปดาห์พอดีที่เราถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาด้วยเสียงรถเครื่อง(มอเตอร์ไซด์) พร้อมกับเสียงตะโกนคำข้างต้นโดยไม่รู้ความหมาย  แต่กลายเป็นสัญญาณสำหรับคนนอกอย่างเราไปโดยอัตโนมัติว่า เช้าแล้ว  ตื่นได้แล้ว 
เช้าแรกที่บ้านทรายขาว  เราสะดุ้งตกใจตื่นเพราะเสียง จาโก๊ย มั้ย จาโก๊ย  ตกใจเพราะคิดว่ามีเรื่องอะไร  แต่วันนี้เราตื่นขึ้นมาพร้อมกับธนบัตรใบละ 20 บาทเพื่อเตรียมซื้ออาหารสำหรับมื้อเช้านี้กับพี่สาวเจ้าของเสียง จาโก๊ย มั้ย จาโก๊ย ที่มาพร้อมกับ ปาท่องโก๋  ข้าวเหนียวสังขยา  ขนมครก  ข้าวผัดกะเพราไก่ไข่ดาว  ข้าวมันไก่  ซาลาเปา  และอื่นๆอีกมากมายที่สลับสับเปลี่ยนบ้างในแต่ละเช้า  
คนพุทธทรายขาวทุกคนรู้จักพี่สาวเจ้าของเสียงตะโกนนี้เป็นอย่างดี  และดูเหมือนว่าทุกคนจะเป็นลูกค้าอาหารมื้อเช้าในเวลาเร่งรีบที่เพิ่งกลับจากการกรีดยางและเตรียมตัวลูกๆหลานๆไปโรงเรียน  
ด้วยอาชีพหลักของคนทรายขาวคือ ทำสวนยางพารา   ดังนั้นวิถีชีวิตยามเช้าจึงเต็มไปด้วยความวุ่นวายกับการหารายได้ที่วันนี้ราคาน้ำยางแตะไปที่ราคาหลักร้อยบาทต่อกิโลกรัม ด้วยการลุกขึ้นมากรีดน้ำยางตั้งแต่ตีหนึ่งพร้อมอุปกรณ์เครื่องมือที่ขาดไม่ได้คือ ไฟฉายส่องไฟที่หัวและมีดกรีดน้ำยาง   และอุปกรณ์เสริมในยามนี้คือ ปืนพก ที่เหน็บอยู่ข้างเอว     เสียง โก๊ย มั้ย โก๊ย  จึงเป็นเสียงที่แม่บ้านรอคอยเพื่อเติมท้องให้อิ่มสำหรับครอบครัวเช้าวันนี้  หลังการกรีดยาง

เช่นเดียวกับคนนอกอย่างเราเริ่มเรียนรู้   นอกจากคนทรายขาวจะฝากท้องยามเช้าไว้กับพี่สาวจาโก๊ย มั้ย จาโก๊ย แล้ว  ร้านข้าวยำบ้านใหญ่แหล่งรวมอาหารมื้อเช้าที่ทั้งคนมุสลิมและคนพุทธบางส่วนฝากท้อง ที่มีตั้งแต่ ข้าวยำ ข้าวมันไก่  ข้าวหมกไก่  ผัดเส้นก๋วยเตี๋ยว  ขณะที่ผู้ชายมุสลิมหลังจากเสร็จภารกิจกรีดยาง  ทำละหมาด  จะมานั่งวงเสวนายามเช้าที่ร้านน้ำชา   ก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไปเก็บและขายน้ำยาง

สัปดาห์แรก  เราเรียนรู้ความหมายในการใช้ชีวิตว่า จะกินอย่างไร  นอนอย่างไร ก่อนที่จะเรียนรู้ขั้นต่อไปว่า  เราจะอยู่อย่างไรเพื่อเข้าใจคนทรายขาวว่า เขาอยู่อย่างไร  ท่ามกลางสถานการณ์ความรุนแรง

เสียงใบพัดเฮลิปคอปเตอร์ กับจินตนาการไร้ขอบเขต
           
พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ  เสียงใบพัดเฮลิปคอปเตอร์บินอยู่เหนือน่านฟ้าเป็นที่รับรู้กันของคนทรายขาวว่า เกิดเหตุการณ์  เราเริ่มเรียนรู้ความหมายนี้  หลังจากอยู่ในชุมชนทรายขาวได้ 3 เดือน และเลิกที่แหงนมองท้องฟ้า  เมื่อได้ยินเสียงเฮลิปคอปเตอร์  ด้วยเพราะเริ่มคุ้นชินจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต  ไม่ต่างจากเสียงไก่ขันยามเช้าที่บอกถึงรุ่งอรุณของวันใหม่ที่เต็มไปด้วยความหวังที่รออยู่ข้างหน้า  เพียงแต่ทุกครั้งได้ยินเสียงเฮลิปคอปเตอร์กลับเต็มไปด้วยความรู้สึกสิ้นหวังต่อความสงบที่เกิดขึ้นในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ 
            เสียงเฮลิปคอปเตอร์ที่บินอยู่บนท้องฟ้าเป็นประจำตอนเช้าจนกลายเป็นความเคยชินของคนทรายขาวเช่นเดียวกับคนในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้  ตั้งแต่ปี 2547 แต่เมื่อไหร่ที่ได้ยินเสียงเฮลิปคอปเตอร์นอกเหนือจากเวลาปกติ  ชาวบ้านเรียนรู้แล้วว่า 1. นายมา  ไปส่งนาย 2.ระเบิดที่ไหนสักแห่ง  
            วันหนึ่งระหว่างนั่งคุยกับปู่ติ้นวัยกว่า 80 ปี   ถึงเรื่องเล่าทรายขาว  (ซึ่งมีชีวิตอยู่มา 3 ช่วงสมัยทรายขาวคือ สมัยพระครูสีแก้ว ผู้บุกเบิกน้ำตกทรายขาว  พระอาจารย์นองผู้นำความเจริญมาสู่ทรายขาว และพระอาจารย์เพ็ง เจ้าอาวาสคนปัจจุบันที่อยู่ในยุควิกฤตของคนทรายขาว) เสียงเฮลิปคอปเตอร์ดังขึ้นบนท้องฟ้า  แกเปรยออกมาอย่างเยาะหยันว่า ระเบิดที่ไหลอีกหล่า  หลังจากนั้นประเด็นสนทนาเคลื่อนไปสู่เหตุการณ์ว่า ฝากไปบอกคนกรุงเทพด้วยนะ  ปล่อยให้มันเป็นแบบนี้แหละ  เขาฆ่าเรา  เราฆ่าเขา  ฆ่ากันไปมาอย่างนี้  ใครกลัวก็ให้ย้ายออก เพราะหากคิดแก้ด้วยการแบ่งแยกดินแดน  คนพุทธอยู่ยาก  ถ้าจะแบ่งแยก  ตั้งแต่สมัยปู่ย่าตาทวดคงให้แยกไปแล้ว   ทั้งๆที่มีป่วนมาตลอด  เพียงแต่ว่าตอนนี้มันใหญ่โต  เพราะคนของเขามากขึ้น  จากอดีตคนไม่มากขนาดนี้  เพราะเขาปล่อยลูกออกมายั้วเยี้ย 8-9 คน ขณะที่คนพุทธเดี๋ยวนี้มีอย่างมาก 2 คน มีออกมา  ปล่อย  ไม่ได้เลี้ยงดูดี  จนเกิดเรื่องราว คนมุสลิมเชื่อคนง่าย พอใครมาพูดอะไร  บอกอะไรก็เชื่อ
            ป้าแต๋วที่กำลังสะลาวนกับการทำงานของตัวเองเงยหน้าขึ้นมาเสริมอย่างมีอารมณ์ว่า เขาพยายามบอกว่าแผ่นดินของเขา  แผ่นดินของเราต่างหาก  มีหลักฐานตรงไหนที่เป็นแผ่นดินของเขา  วันก่อนทีวีออกบอกว่าเสนอเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด  เขาก็ชนะสิ  คนเขามากกว่าเราตั้งมาก


การรับรู้กับความรุนแรง(ทางความรู้สึก)

            เช้าวันหนึ่งระหว่างยืนเข้าแถวเคารพธงชาติขึ้นสู่ยอดเสา  ที่โรงเรียนวัดทรายขาว  คุณครูเวียงเข้ามาเล่าเรื่องการพานักเรียนไปทัศนศึกษาที่วัดธรรมกายและอุทยานประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยาว่า  ไปกรุงเทพเหมือนได้ปลดปล่อย  อยู่ที่นี่แม้จะอุดมสมบูรณ์  สบายกายแต่ไม่สบายใจ  ไม่สามารถวางใจได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  แม้บอกว่าทรายขาวจะไม่มีอะไร  แต่พี่ก็ไม่เคยวางใจ  อยู่ปกติที่ไหน ดูสิ เดี๋ยวก็มีรถทหารวิ่งเข้ามาในโรงเรียนพกปืน  เดี๋ยวก็มีรถถังมาวิ่ง  ปกติที่ไหน  น้องอย่าวางใจ  ใครบอกว่าตรงนั้นไปได้  ตรงนี้ไปได้อย่าวางใจ  ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดกับเรา 
คุณครูท่านนี้ปกติจะพูดน้อยมาก  และไม่ค่อยคุยกับใคร โดยคุณครูทรายขาวท่านอื่นพูดให้ฟังว่า แกยังกระทบกระเทือนจิตใจจากการสูญเสียสามีที่ถูกยิงตายและราดน้ำมันเผาทั้งรถยนต์  สามีแกเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนที่ยะหา  พอเกิดเรื่องแกทำเรื่องย้ายกลับบ้านเกิดมาอยู่ที่โรงเรียนวัดทรายขาว แต่เรื่องเกิดมาตั้งแต่ปี 2549 แต่ดูเหมือนแกยังทำใจไม่ได้  ครูคนหนึ่งเสริมว่า ใครทำใจได้ ศพดำตัวหงิกหงอ และได้ยินเสียงปืนเต็ม 2 หู ตอนถูกยิง 
ครูเวียงยังระบายความรู้สึกถึงการไปเที่ยวกรุงเทพอีกว่า ไปครั้งนี้ได้ไปอยุธยาไหว้พระ  รู้สึกสบายใจ  แต่พอกลับรถเริ่มเข้าเขตแถวสงขลา  เริ่มมีด่านตั้ง  เริ่มเครียด  ความเครียดในชีวิตประจำวันกลับมา  ไปกรุงเทพนั่งรถเหนื่อย แต่สบายใจ
ก่อนที่เด็กนักเรียนจะเลิกแถวเดินเข้าชั้นเรียน  ครูเวียงยังมาจับมือเราและบอกว่า ได้ข่าวว่าถีบจักรยานไปสอนที่โรงเรียนปอเน๊าะเหรอ  อย่าไปสอนเลย อันตราย แม้ว่าจะอยู่ในเขตบ้านเรา วางใจไม่ได้  มาเอามอเตอร์ไซด์ของพี่ไปใช้ได้นะ
หลังการสนทนาวันนั้น  ทำให้เรากลับมาทบทวนถึงบทบาทของตนเองมากขึ้นต่อการลงพื้นที่เก็บข้อมูล  เราถามตัวเองหลายครั้งว่า ไหนบอกว่าไม่มีอะไรที่นี่  แต่ทำไมมีแต่คนแวะเวียนมาถามเรื่องไปสอนที่ปอเน๊าะ  ทำไมมีแต่คนมาบอกให้หยุดสอน ความรู้สึกเริ่มกังวลมากขึ้น  จากที่ไม่เคยวิตกกังวลถึงความปลอดภัยของตัวเอง  ยิ่งเจอข้อเสนอจากน้าใจผู้เอื้อเฟื้อที่อยู่อาศัยในวันหนึ่งว่า เอาปืนไว้ติดตัวไหม  พี่มีหลายกระบอก
คนพุทธทุกคนที่รู้จักพอมักคุ้นเริ่มเอ่ยปากถึงความปลอดภัยในการสอนที่โรงเรียนปอเน๊าะ ที่อยู่ห่างไกลจากวัดทรายขาว  3 กิโลเมตรที่ถือเป็นศูนย์ของตำบลทรายขาว  แม้แต่เมื่อเล่าให้เด็กนักเรียนโรงเรียนวัดทรายขาวฟัง  เด็กนักเรียนยังถามว่าอยู่ที่ไหน ไกลไหม  เพราะไม่เคยไป  คำถามว่า ไม่กลัวเหรอ  เริ่มถูกถามถี่ขึ้น  จนกลายเป็นคำถามที่ถูกถามประจำวัน
ดูเหมือนว่า บ้านลำหยัง  พื้นที่หมู่ 6 ในตำบลทรายขาว และเป็นที่ตั้งของโรงเรียนปอเน๊าะจะกลายเป็นพื้นที่ห่างไกลจากความรู้สึกของคนไทยพุทธที่ทรายขาว 
นึกถึงสายตาของเด็กนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่เราได้เข้าไปสอนวิชาภาษาอังกฤษ ยอมรับว่า กลัว  กับสายตานิ่งและจ้องมองเราทุกอิริยาบถในชั่วโมงแรกของการเรียนการสอน
เสียงคุณครูติ๋มที่ชวนเรามาสอนยังก้องอยู่ในโสตประสาทตลอดการสอนว่า น้องสอนเฉพาะเนื้อหา  อย่าพูดเรื่องใดๆทั้งสิ้น  และไม่ต้องว่ากล่าวตักเตือนใดๆ  เราไม่รู้เขาคิดอย่างไร  ขนาดพี่สอนที่นี่มา 30 กว่าปี จนจะเกษียณ หลังเกิดเหตุการณ์  พี่ไม่กล้าสอนเรื่องจริยธรรม คุณธรรม เพราะเด็กพวกนี้เงียบมาก  ไม่เคยแสดงความคิดเห็นอะไร  แตกต่างจากเด็กรุ่นก่อนๆที่พี่สอน  ยังดุด่าว่ากล่าวได้
จนถึงวันนี้ความรู้สึกเริ่มเปลี่ยนไปจากคำตอบที่หนักแน่น 99 เปอร์เซ็นต์ก่อนลงพื้นที่ภาคสนามว่าไม่กลัว   พร้อมข้ออ้างหลักฐานเชิงสถิติว่าไม่เคยเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงขึ้นในพื้นที่ทรายขาว  แต่วันนี้หากถูกตั้งคำถามเดียวกัน  คำตอบเริ่มเปลี่ยนไปว่ากลัว 100 เปอร์เซ็นต์พร้อมใจที่หวั่นไหวอยู่ภายใน     เป็นความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว จากสิ่งที่เห็นแต่ไม่เท่ากับสิ่งที่ได้ยิน  และความรู้สึกที่สัมผัส
            การรับรู้ (perception) จากปากคน  คนแล้วคนเล่า ตอกย้ำซ้ำๆกัน(reproduce) วันแล้ววันเล่า ก่อให้เกิดความรู้สึกใหม่ทดแทนจาก ปลอดภัย เป็น ไม่ปลอดภัย  ที่เกิดจากการตีความหมายจากการรับรู้และที่สำคัญคือการสัมผัสกับชีวิตความเป็นอยู่ วงจรชีวิตของคนไทยพุทธและไทยมุสลิมดูช่างห่างไกลกันเหลือเกิน บนพื้นที่ที่ถูกประทับตราว่า สมานฉันท์  จะต่างอะไรกับคนทรายขาวที่รับรู้เหตุการณ์ทั้งจากการบอกเล่าปากต่อปาก  ข่าวลือที่เต็มกระจายอยู่ทั่วพื้นที่และการรับรู้ข่าวเหตุการณ์ผ่านสื่อโทรทัศน์ทุกค่ำคืน  จะไม่สั่นสะเทือนความทรงจำร่วมของคนทรายขาวหรือ  เหล่านี้คือคำถามที่ต้องการคำตอบ


[1] นักศึกษาปริญญาเอก สหวิทยาการ ธรรมศาสตร์ 
[2] เราในงานเขียนชิ้นนี้หมายถึง ผู้เขียน ที่ต้องการเขียนในรูปแบบเล่าเรื่อง  โดยผู้เขียนจะใช้สรรพนาม  เรา  แทนตัวผู้เขียนตลอดทั้งเรื่อง โดยงานชิ้นนี้เขียนในระยะ 3 เดือนแรกที่เข้าไปอยู่ในพื้นที่ จึงเป็นงานในลักษณะของการตั้งคำถามกับสิ่งที่ได้เห็น ได้ยินและได้สัมผัส ขอขอบคุณศ.ดร.ชัยวัฒน์  สถาอานันท์และอ.ดร.สายพิณ  ศุพุทธมงคล  อาจารย์ที่ปรึกษาสำหรับคำแนะนำในการมองและการตีความขอขอบคุณคนทรายขาวทุกคนสำหรับความมีน้ำใจตลอดกว่าหนึ่งปีของการเก็บข้อมูลในพื้นที่ตำบลทรายขาว อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานีและหากมีข้อผิดพลาดประการใด ผู้เขียนขอน้อมรับในความผิดพลาดทั้งหมดเพียงผู้เดียว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น