วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ว่าด้วยทฤษฎีเมือง (ภาค 3)

อัญชลิตา สุวรรณะชฎ[1]

ทฤษฎีความยุ่งเหยิงของเมือง (Urban Anomie Theory)

หลุยส์ ไวร์ท (Louis Wirth)[2] เขียนเกี่ยวกับความหนาแน่นของประชากรและชนชั้นทางสังคมในมุมมองผลกระทบของเมืองต่อพลเมือง โดยเฉพาะชาวเมืองที่อยู่กันหนาแน่นและใกล้ชิดกันภายใต้ผู้คนและสิ่งแวดล้อมรอบตัวมากมาย ทั้งสถานที่ต่างๆ เสียง และกลิ่น ที่ต้องประสบในแต่ละวัน นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงบุคลิกและอารมณ์ที่เย็นชา


มุมมองของไวร์ทเริ่มมาจากแนวคิดของ จอร์จ ซิมเมล (Georg Simmel) เรื่อง The Metropolis and Mental Life (1905) ซิมเมลสันนิษฐานว่า การใช้ชีวิตที่อึดอัดเกินไปในเมือง (สถานที่ต่างๆ เสียง และกลิ่น) ทำให้เกิดความเครียดในแต่ละคน นำไปสู่การปรับตัวโดยแยกตัวเองออกจากคนอื่นๆ ในเมือง และกลายเป็นเหตุผลที่ต้องคำนึงถึงในการใช้ชีวิต งานเขียน Urbanism as Way of Life (1938) ไวร์ทนำแนวคิดความสับสน (anomie) ของ อีมิล เดอร์กไคม์ (Emile Durkheim) มาปรับใช้กับรูปแบบเมือง โดยชี้ให้เห็นความแตกต่างทางสังคมที่เพิ่มขึ้นจากความหนาแน่นของประชากรและการแย่งงาน ชีวิตในเมืองมีความยุ่งเหยิงทางสังคมเพิ่มขึ้นและความเป็นส่วนตัวลดลง ความอึดอัดใจกับการใช้ชีวิตในเขตชนบท การใช้ชีวิตอย่างเสรีในเมืองมีผลต่อกลุ่มและปัจเจกชน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผลลัพธ์ของวัฒนธรรมในสภาพแวดล้อมของเมืองสร้างความห่างเหินทางสังคมตามทฤษฎีของไวร์ท เขาสนับสนุนอิสรภาพในการเปิดเผยตนเองและความคิดสร้างสรรค์ เพราะการเปลี่ยนแปลงทางสังคมมาจากการพบปะของประชาชนในเมือง ไม่ใช่จากบรรทัดฐานทางสังคมที่ประชาชนเหล่านี้ต้องปฏิบัติตาม เราต้องแยกความยุ่งเหยิง ความเหงา และการฆ่าตัวตายออกจากอิสรภาพส่วนตัวที่จะแสดงตัวตน และความคิดสร้างสรรค์

ทฤษฎีวัฒนธรรมเมือง (Urban Culturalist Theory)

เฮอร์เบิร์ต แกนส์ (Herbert Gans) ไม่ได้ศึกษาเมืองโดยจำแนกประเภทตามวิวัฒนาการทางชนชั้นของผู้ที่อาศัยอยู่ในเมือง แต่แกนส์กล่าวถึงวิถีทางการดำเนินชีวิต (lifestyle) ที่ก่อตัวขึ้นโดยความเป็นเมือง แกนส์ได้รับอิทธิพลจาก โรเบิร์ต ปาร์ก และ เออร์เนส เบอร์เกส สำนักชิคาโก แกนส์เน้นศึกษาชีวิตในเมืองที่เกิดขึ้นในกลุ่มเล็กๆ ได้แก่ ครอบครัว เพื่อน และเพื่อนบ้าน ซึ่งกลุ่มเล็กๆ นี้อยู่ในถิ่นของชาวต่างประเทศภายในเมืองใหญ่ อย่างเช่น ลิตเติ้ลอิตาลีหรือไชน่าทาวน์ แกนส์ยืนยันว่าปัจจัยเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมเมือง ไม่ได้ส่งผลโดยตรงต่อกลุ่มหรือปัจเจกชน  เพียงแต่เป็นผลลบเล็กน้อยต่อการดำรงอยู่ของกลุ่มเล็กๆ ในเมือง (เช่น ลิตเติ้ลอิตาลี) ทฤษฎีพื้นที่ของแกนส์ต่อต้านการมองเมืองในด้านมืดแบบติดลบต่อกลุ่มเล็กๆ (Turley, Allan 2005: 10-11)
โฮเวิร์ด เบคเคอร์ (Howard Becker) ได้พัฒนาแนวคิดสำนักชิคาโกและแกนส์ ที่เสนอความซับซ้อนของชุมชนเมืองตามธรรมชาติในความหมายของ สังคมโลก (social world) กล่าวคือ ประสบการณ์โดยรวมและความสัมพันธ์ของถิ่นชาวต่างประเทศภายในเมืองใหญ่ เพื่อนบ้าน หรือ สภาพแวดล้อมการทำงาน ที่ทำให้ชาวเมืองใช้ชีวิตแตกต่างกันในสังคมโลก สู่การเคลื่อนไหวที่กลมกลืนกับเพื่อนบ้านทางสังคมโลก ถึงการทำงานในสังคมโลก และความเป็นครอบครัวในสังคมโลก อันนำไปสู่ผลผลิตทางวัฒนธรรม ยกตัวอย่างเช่น การพัฒนาเพลงคลาสสิกในทุกๆ เมืองในสหรัฐอเมริกา เมืองที่ปกครองตนเองโดยกลุ่มผู้ดีชั้นสูงเป็นผู้จัดการกองทุนภาษี (ท้องถิ่น รัฐ หรือสันนิบาต) เพื่อใช้จ่ายค่าอำนวยความสะดวก นักดนตรี และวงออเคสตราเพื่อแสดงดนตรีคลาสสิก ผู้ชม ทีมงาน และนักดนตรี เป็นผู้สร้างสรรค์สังคมโลกเพื่อผลิตวัฒนธรรมใหม่ รวมถึงสถาบันต่างๆ (วงซิมโฟนีหรือคณะโอเปรา) ผู้เชี่ยวชาญภาษาในการสื่อสาร (บทละครเรื่องมาดามบัตเตอร์ ฟลาย) เป็นบรรทัดฐานที่นำไปสู่สังคมโลก (การสวมใส่ชุดทักซิโดในการแสดง) สถาบันเหล่านี้ได้สร้างวัฒนธรรมเมือง (Turley, Allan 2005: 11)


หากย้อนกลับไปมอง เมือง ในทางรัฐศาสตร์ จอห์น มอลเลนคอมป์ (John Mollenkompf) ผู้เชี่ยวชาญวัฒนธรรมเมือง เชื่อว่านโยบายสนับสนุนการปกครองตนเองและโครงการจัดหาทุนต่างๆ เป็นพื้นฐานการเปลี่ยนแปลงของเมือง การออกแบบเมืองและการทำงานของเมืองเป็นการจัดการการปกครองตนเองทางวัฒนธรรมที่เหมาะสม รัฐบาลของสหพันธรัฐ กระทรวงที่อยู่อาศัยและการพัฒนาเมือง ได้เปลี่ยนเมืองโดยการออกแบบและโครงสร้างเมื่อ 50 ปีก่อน การเปลี่ยนเมืองใหม่ได้รับอนุมัติจากผู้นำเมืองในปี ค.ศ. 1950 นโยบายการบริหารกิจการภายในประเทศของประธานาธิบดีรูสเวลท์ ครอบคลุมถึงโครงการที่อยู่อาศัยจำนวนมาก จนอาจกล่าวได้ว่า เป็นการเริ่มต้นของกรุงวอชิงตันจากอิทธิพลความเป็นเมือง รัฐบาลเป็นผู้สร้างโครงการที่อยู่อาศัยเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1940 และออกแบบเพื่อผู้ไร้ที่อยู่อาศัยในปี ค.ศ. 1950 หลังยุคเศรษฐกิจตกต่ำ ในปี ค.ศ. 1960 ใช้เงินกองทุนเพื่อพัฒนาเมืองและที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยในอเมริกา ทำให้เมืองใหญ่ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้น มีย่านธุรกิจหลักและตึกอาคารที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ ที่น่าเศร้า คือ ในปี ค.ศ. 1960-1970 นักพัฒนาที่ดินผู้ร่ำรวยเข้ามาฟื้นฟูทรัพย์สินในย่านธุรกิจหลัก ทำกำไรจากการซื้อขายเปลี่ยนมืออาคารที่เก็บค่าเช่าเพียงเพื่อเป็นค่าภาษีที่ดิน ในขณะที่การก่อสร้างต่ำกว่ามาตรฐานและความหละหลวมในการกำหนดเวลาสำหรับที่อยู่อาศัยเพื่อคนจนในระยะยาว ทำให้จำนวนยูนิตที่พักอาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยลดลง
เอลิซา แอนเดอร์สัน (Elijah Anderson)[3] ได้ใช้วิธีการศึกษาทางมานุษยวิทยา อธิบายชีวิตและวัฒนธรรมที่แตกต่างกันในเรื่องโครงสร้างและปัญหาทางประวัติศาสตร์ ระหว่างพื้นที่แออัดที่คนกลุ่มน้อยในเมืองอาศัยอยู่กับชานเมือง แอนเดอร์สันอธิบายถึงชีวิตและโครงสร้างครอบครัว สิทธิ (decent) และ ถนน (street) สิทธิของครอบครัวชนชั้นกลางมีคุณค่าทางโครงสร้างวัฒนธรรมของสังคม และวัฒนธรรมครอบครัวข้างถนนกลับถูกปล่อยปละละเลย คุณค่าทางชนชั้นเป็นข้อเท็จจริงของชีวิตภายในเมืองที่ต้องยอมรับในระยะเวลาอันสั้น
การดูแลเอาใจใส่ กับ การแบ่งแยก วัฒนธรรมข้างถนน เป็นข้อถกเถียงของวัฒนธรรมอเมริกัน ที่ทำให้วัฒนธรรมอยู่ในภาวะชะงักงัน (dysfunction culture) วัฒนธรรมข้างถนนเป็นปฏิกิริยาต่อความยากจนมากกว่าเป็นการสร้างความยากจน ปฏิกิริยาต่อความยากจนภายในเมืองได้สร้างวัฒนธรรม ฮิบ-ฮอบ หรือวัฒนธรรมเพลงแร็บ ซึ่งเป็นผลผลิตของวัฒนธรรมข้างถนน รวมถึงบรรทัดฐานทางการใช้ภาษา (การใช้คำที่ไม่ถูกต้องตามไวยากรณ์ เช่น “dissin”) โครงสร้างมาตรฐาน (ความรุนแรงและการใช้ปืนเพื่อแก้ปัญหา) และแฟชั่น (ผ้าพันคอตามสีของแก็งค์ต่างๆ และการทิ้งรถยนตร์ราคาถูกไว้เป็นสัญลักษณ์ตามถนน)
วัฒนธรรมเมือง พลเมือง ธุรกิจ องค์กรทางสังคม องค์กรต่างๆ และการผลิตผลงานศิลปะ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกันดังกล่าวข้างต้น สิ่งเหล่านี้เป็นเสมือนรหัสของวัฒนธรรมเมืองใหญ่ที่ต้องการการถอดรหัส เพื่อทำความเข้าใจความหมายของวัฒนธรรมเมือง


[1] บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาบัณฑิตสัมมนา (สห. 845) โครงการปริญญาเอกสหวิทยาการ วิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการศึกษาที่ 2/2552
[2] Wirth, Louis. (1938). Urbanism as a Way of Life, American Journal of Sociology Vol. 14, pp. 1-24.
[3] Anderson, Elijah. (1990). Streetwise: Race, Class and Change in the Urban Community. Chicago: University of Chicago Press.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น